⭕️ ⭕️ ⭕️
ประมาณ ว่า ถ้าเขียนหัวเรื่องแค่นี้ จะทายกันถูกไหม … ผมกำลังจะชวนคุยเรื่องอะไร
พัน อย่าง ร้อย อย่าง แล้วแต่จะนึกกันไป ว่า อะไรที่อ่อนแรงเพราะโลกร้อน แต่ทายยังไงก็คงไม่ถูก เพราะผมเองก็เพิ่งรู้จากการไถ่ถามอากู๋ และนึกไม่ถึงว่า มันคือ กระแสน้ำอุ่นครับ
ปี 2021 นี้ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการประชุมกันเรื่องการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโลก ของสหประชาชาติ ที่เมืองกลาสโก สก็อตแลนด์ ประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความพยายามที่จะควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันเป็นที่มาของภาวะโลกร้อน คงจุดประกายความคิดผู้คนอีกหลายๆคน
ปฐมเหตุที่นำมาสู่การเขียนเรื่องของผมในวันนี้เกิดขึ้นมาจาก กัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ได้ร้องขอมา ให้ผมช่วยค้นหาว่า เป็นจริงมากน้อยขนาดไหน เกี่ยวกับเรื่องกระแสน้ำอุ่นกำลังจะตาย (อ่อนแรง) อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน
ผมไปเจอเว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลทางด้านมหาสมุทร (National Ocean Service) เป็นของหน่วยงานทางด้านมหาสมุทรและบรรยากาศสังกัดกรมการค้าสหรัฐ (NOAA: National Oceanic and Atmospheric Administration, U.S. Department of Commerce) เขาอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายดี จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง
เขาปูพื้นตั้งแต่เรื่องง่ายๆ รู้กันอยู่แล้ว เช่น กระแสน้ำ ตามแม่น้ำลำคลอง ย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ เพราะแรงดึงดูดของโลก ต่อมาก็พูดถึงเรื่องน้ำขึ้นน้ำลง อันเนื่องมาจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ โดยดวงจันทร์จะส่งผลมากกว่า เพราะใกล้กว่าดวงอาทิตย์ถึง 389 เท่า น้ำจึงขึ้นสูงสุดเมื่อเดือนเพ็ญและเดือนมืด เพราะดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่ในแนวเดียวกัน กระแสน้ำที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลง จึงทำนายล่วงหน้าได้ง่าย ตามวงโคจรของอาทิตย์และจันทร์
ปัจจัยอย่างที่สอง คือ ลม ที่ทำให้เกิดกระแสน้ำไหลบริเวณผิวน้ำได้
ฝรั่งเขาวัดความเร็วผิวน้ำนี้เป็น knots (1 knot = 1.15 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 1.85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ที่แปลว่าปมเชือกนี่แหละ เพราะสมัยโบราณเขาวัดความเร็วเรือด้วยการปล่อยเชือกที่ผูกปมเป็นระยะๆลงน้ำทางท้ายเรือ พอถึงเวลาที่กำหนดก็สาวเชือกขึ้นมานับจำนวนปม
ปัจจัยของลมนี้ นอกจากทำให้เกิดกระแสน้ำไหลแล้ว ยังทำให้เกิดคลื่นในทะเลอีกด้วย และคลื่นจะใหญ่หรือไม่ จะต้องประกอบไปด้วยสามอย่างต่อไปนี้ให้ครบ คือ ความเร็วลมต้องมาก ระยะทางต้องไกล และระยะเวลาต้องนานพอ ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง คลื่นยักษ์ไม่เกิด คุณ Duxbury และทีมงานว่าไว้อย่างนั้น
เราคงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่น้ำจากคลื่นซัดเข้าฝั่งและไหลลงทะเล จะกัดเซาะชายฝั่งได้ถ้าแนวคลื่นทำมุมกับชายฝั่งได้พอดี
แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาและเป็นอันตรายต่อผู้คนที่ชอบว่ายน้ำชายฝั่ง ก็คือกระแสน้ำแบบฉีกแนว ที่ฝรั่งเรียกว่า “rip current” เพราะมวลน้ำที่คลื่นทยอยซัดเข้าฝั่งตลอดเวลานั้น แทนที่จะค่อยๆหายไป กลับรวมกันเป็นลำพุ่งออกไปยังท้องทะเลลึก ในทิศทางตั้งฉากกับชายฝั่ง ถ้าใครหลุดไปอยู่ตรงนั้น แล้วคิดจะว่ายกลับเข้าฝั่ง – ต่อให้เป็นนักว่ายน้ำเหรียญทองโอลิมปิกก็ไม่มีทางสู้แรงน้ำได้ ทางแก้ก็คือ อย่าว่ายต้านทิศทางน้ำ คือว่ายกลับเข้าฝั่ง แต่ให้ว่ายตั้งฉากกับทิศทางน้ำ คือว่ายขนานกับฝั่ง จะสามารถหลุดออกมาจากแนวสายน้ำนี้ได้ เพราะสายน้ำที่แรงนี้แคบ ไม่กว้างมากนัก ส่วนใหญ่จะกว้างไม่เกิน 25 เมตร พอหลุดออกมาแล้วค่อยว่ายกลับเข้าฝั่ง
ปัจจัยที่สาม ที่ทำให้เกิดกระแสน้ำไหลบนโลก ซึ่งจะเกิดเฉพาะในทะเลและมหาสมุทร ก็คือ “thermohaline” อันเกิดจาก อุณภูมิ (thermo) และความเค็ม (haline) ซึ่งจะเกิดการไหลทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก แต่จะไหลช้ากว่ากระแสที่ผิวน้ำมาก
ลม ทำให้เกิดกระแสน้ำที่ผิว และน้ำที่อยู่ต่ำลงไปก็ถูกดึงให้ขยับตามไปบ้าง แต่จะไม่มีผลต่อน้ำที่ลึกเกินกว่าร้อยเมตร
ทว่าน้ำที่ลึกมากๆ หลายพันเมตร ก็มีการไหล ซึ่งเป็นผลมาจาก “thermohaline” นี่เอง ที่ทำให้ความหนาแน่นของน้ำเปลี่ยนแปลง
เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดบริเวณขั้วโลก ที่มีอากาศหนาวเย็นจัด จนน้ำในน้ำทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง
ผมใช้คำว่า “น้ำในน้ำทะเล” เพราะว่าการที่จะเป็นน้ำแข็งนั้น มันเป็นเฉพาะน้ำที่แยกตัวออกมา ส่วนเกลือ หรือความเค็ม จะถูกทิ้งค้างไว้ ละลายอยู่ในน้ำทะเลส่วนที่เหลือ ทำให้เค็มขึ้น และมีความหนาแน่นมากขึ้น มันจึงค่อยๆจมลงสู่ก้นทะเล ผิวน้ำทะเลส่วนที่อยู่รอบนอกซึ่งอุ่นกว่า ก็จะไหลเข้ามาแทนที่ และมันก็จะเย็นลงอีก ไหลลงก้นทะเลอีก จนกลายเป็นปั๊มสูบน้ำขนาดยักษ์ของโลก สูบน้ำอยู่ที่ขั้วโลกในปริมาณที่มากกว่าปริมาณน้ำในแม่น้ำทุกสายบนโลกรวมกันเสียอีก
น้ำที่ถูกขับเคลื่อนด้วยปั๊มยักษ์นี้ จะวิ่งวนไหลไปทั่วโลก เรียกว่า “สายพานลำเลียงของโลก” (global conveyor belt)
เส้นทางของสายพานลำเลียงนี้ เริ่มจากมหาสมุทรแอตแลนติกแถวน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ น้ำทะเลที่เค็มจัด เข้มข้น และเย็น จมลงก้นมหาสมุทรแอตแลนติก ไหลลงใต้ ข้ามเส้นศูนย์สูตร จนมาถึงชายฝั่งแอนตาร์กติก ใกล้ขั้วโลกใต้ ได้ “recharge” รับความเย็นจากขั้วโลกใต้อีกรอบ ก่อนจะแยกเป็นสองสาย สายหนึ่งขึ้นมหาสมุทรอินเดีย อีกสายขึ้นมหาสมุทรแปซิฟิก
ทั้งสองสายเมื่อไหลขึ้นเหนือก็ค่อยๆอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ความหนาแน่นก็น้อยลง และลอยขึ้นผิวน้ำ กลายเป็นกระแสน้ำอุ่นที่เริ่มตั้งแต่บริเวณบนสุดของมหาสมุทรและค่อยๆไหลลงมาทางใต้ แล้วเลี้ยวขวาไปทางตะวันตก
กระแสน้ำอุ่นจากมหาสมุทรแปซิฟิก จะผ่านคาบสมุทรอินโดจีนของไทย เราจึงไม่มีทางที่จะหนาวมากอย่างแน่นอน แล้วไหลไปรวมกับกระแสน้ำอุ่นของมหาสมุทรอินเดีย วิ่งอ้อมแหลมแห่งความหวังดี (good hope) ใต้สุดของทวีปแอฟริกา เข้าไปในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ ไหลขึ้นเหนือ ข้ามไปเยี่ยมอ่าวเม็กซิโก แล้ววิ่งตัดมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ กลับไปจุดเริ่มต้นที่ขั้วโลก ครบรอบพอดี แล้ววงจรนี้ก็จะเริ่มต้นใหม่ ต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ
มันจะไม่รู้จบจริงหรือเปล่า ดีไม่ดี วงจรนี้อาจจะสะดุด ด้วยฝีมือมนุษย์นี่แหละ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่นคาร์บอนไดออกไซด์กันอย่างไม่บันยะบันยัง เมื่อมันมากเกินไป บรรยากาศก็จะอุ่นขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น ความเค็มในทะเลที่ขั้วโลกจึงถูกเจือจางลง ปั๊มยักษ์ที่ขั้วโลกที่ดันน้ำทะเลลงสู่ก้นมหาสมุทรก็จะหยุดทำงาน กระแสน้ำเย็นที่กวาดเอาความอุดมสมบูรณ์จากก้นทะเลขึ้นมาจะหายไป กระแสน้ำอุ่นที่ไหลไปหล่อเลี้ยงเป็นเครื่องทำความอุ่นธรรมชาติให้กลุ่มประเทศแถวยุโรปก็จะอ่อนแรง ความประหลาดของบรรยากาศแถวยุโรปจะเกิดขึ้น นั่นคือ แม้ว่าอุณหภูมิโดยรวมของบรรยากาศโลกจะเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มประเทศแถบยุโรปกลับจะหนาวเย็นลง เพราะขาดกระแสน้ำอุ่นไปหล่อเลี้ยง
บรรยายเป็นฉากๆ ในอนาคต ยังกะ นอสตราดามุส เลยทีเดียว
พักนี้ เพื่อนฝูงส่งนู่นนี่มาให้คิดอยู่เรื่อย นัยว่าเป็นการช่วยบริหารสมองบรรดา ส.ว. ทั้งหลาย จะได้ไม่เป็นอัลไซเมอร์ ผมเลยชักจะคล้อยตาม เลยขอจบทิ้งท้ายเป็นคำถาม ให้เดากันเล่นๆ – ใช่ครับ เดาอย่างเดียว ไม่มีการคิดเลขให้ปวดหัว คือให้ทายว่า …
“กระแสน้ำอุ่นที่ยังไม่อ่อนแรงในตอนนี้นี่น่ะ นักวิชาการเขาประเมินว่า กว่ามวลน้ำจะไหลไปทั่วโลกจนครบรอบกลับมาที่เดิมจะใช้เวลาประมาณ กี่ปี ?”
ทายแล้วไม่เฉลย คงโดนทุบ รอเฉลยสัปดาห์หน้า ก็คงไม่ทันใจวัยรุ่นใจร้อน จะเฉลยทื่อๆตรงนี้เลย ก็ใช่ที่ เลยไม่ต้องเดากันพอดี ผมเลยเฉลยแบบต้องใช้ความพยายามนิดนึง โดยขอให้ช่วยเลื่อนจอ กลับไปตอนเริ่มต้น และอ่าน …
“คำแรกของ ย่อหน้าที่ 1 รวมกับคำแรกของย่อหน้าที่ 2 และ คำแรกของย่อหน้าที่ 3 ข้างบนโน้นครับ” ๏๛
… @_@ …
วัชระ นูมหันต์
2021-12-26
Ref: https://oceanservice.noaa.gov/education/tutorial_currents/05conveyor3.html
All Rights Reserved ©